บ่อยครั้งหลาย ๆ คนมักพบกับอุปสรรคที่ทำให้ความพยายามดูเหมือนไร้ผล เรามักจะมุ่งเน้นไปที่การควบคุมปริมาณอาหา, พึ่งพายาลดน้ำหนัก และการออกกำลังกายเป็นหลัก แต่ลืมไปว่ามีปัจจัยอีกหนึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการจัดการน้ำหนัก นั่นคือ “ฮอร์โมน” ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระบบการเผาผลาญ, ความอยากอาหาร, และการสะสมไขมันในร่างกาย และในบางครั้ง ฮอร์โมนก็สามารถเป็นตัวแปรหลักที่ทำให้การลดน้ำหนักเป็นเรื่องยากมากขึ้น ในบทความนี้ เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ ฮอร์โมนความอ้วน หรือฮอร์โมนที่มีบทบาทในการควบคุมน้ำหนักตัว ตั้งแต่วิธีที่ฮอร์โมนเหล่านี้ส่งผลต่อการเพิ่มน้ำหนักและความท้าทายในการลดน้ำหนัก เราจะสำรวจการเชื่อมโยงระหว่างฮอร์โมนต่างๆ ส่งผลกับน้ำหนักตัว และจะดูว่าทำไมบางครั้งการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารอาจไม่เพียงพอในการส่งผลต่อการลดน้ำหนัก ถ้าพร้อมแล้วลองไปดูกันเลย
ความอ้วนถือเป็นปัญหาสุขภาพระดับโลกที่กำลังเพิ่มขึ้น โดยมีผู้คนกว่า 650 ล้านคนทั่วโลกที่อยู่ในสถานะของการเป็นโรคอ้วน และมากกว่า 1.9 พันล้านคนที่มีน้ำหนักเกิน ภาวะนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ, โรคเบาหวานชนิดที่ 2, และบางชนิดของมะเร็งเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความสามารถในการทำงานของผู้ที่ประสบปัญหาด้วย
ฮอร์โมนเป็นสารสื่อสารทางเคมีที่หลั่งออกมาจากระบบต่อมไร้ท่อ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมกระบวนการต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงการเผาผลาญพลังงาน, ความอยากอาหาร, และการกระจายตัวของไขมันในร่างกาย ฮอร์โมนเหล่านี้รวมถึงเลปติน, อินซูลิน, เอสโตรเจน, แอนโดรเจน และฮอร์โมนเจริญเติบโต
ผู้ที่มีภาวะอ้วนมักจะมีระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งส่งเสริมการสะสมของไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เลปตินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหารและการเผาผลาญไขมัน มักจะมีในระดับที่สูงในผู้ที่มีภาวะอ้วน แต่ร่างกายของพวกเขากลับมีความไวต่อเลปตินน้อยลง ซึ่งนำไปสู่การบริโภคอาหารเกินความต้องการและส่งเสริมการเพิ่มน้ำหนักต่อไป
การจัดการกับภาวะอ้วนและปรับปรุงสุขภาพโดยทั่วไปสามารถทำได้โดยการเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการรับประทานอาหารที่สมดุลคือกุญแจสำคัญ นอกจากนี้ การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและการจัดการกับความเครียดยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อระดับฮอร์โมนและสุขภาพโดยรวม
ในการต่อสู้กับภาวะอ้วน การเข้าใจบทบาทของฮอร์โมนในการควบคุมน้ำหนักและการรักษาสมดุลทางเคมีภายในร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ การร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และการดูแลสุขภาพเพื่อระบุและจัดการกับปัจจัยที่อาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมนและสุขภาพโดยรวมคือขั้นตอนสำคัญในการจัดการกับภาวะอ้วนและเสริมสร้างสุขภาพที่ดีขึ้น
ระบบต่อมไร้ท่อมีบทบาทสำคัญในการควบคุมและปรับสมดุลหลายด้านของร่างกายผ่านการหลั่งฮอร์โมนเข้าสู่กระแสเลือดฮอร์โมนเหล่านี้เป็นสารสื่อสารทางเคมีที่ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ รวมถึงการควบคุมน้ำหนักและการกระจายไขมันในร่างกาย
ระบบต่อมไร้ท่อประกอบด้วยต่อมต่างๆ เช่น ต่อมไทรอยด์, ต่อมหมวกไต, และต่อมใต้สมอง ซึ่งทำงานร่วมกับระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกันเพื่อตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกร่างกาย การปรับเปลี่ยนระดับฮอร์โมนสามารถส่งผลต่อการเผาผลาญพลังงาน ความอยากอาหาร และวิธีที่ร่างกายสะสมและกระจายไขมัน
ดังนั้น ระบบต่อมไร้ท่อมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมและรักษาสมดุลของน้ำหนักและการกระจายไขมันในร่างกาย การทำความเข้าใจวิธีการทำงานของระบบนี้สามารถช่วยในการออกแบบกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการจัดการน้ำหนักและป้องกันโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วน
เลปตินเป็นฮอร์โมนที่สำคัญซึ่งผลิตโดยเซลล์ไขมันในร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่หลักในการควบคุมความอยากอาหารและกระตุ้นให้รู้สึกอิ่ม เมื่อเซลล์ไขมันสะสมพลังงานจากอาหารมากขึ้น จะมีการหลั่งฮอร์โมนเลปตินเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้นเพื่อส่งสัญญาณไปยังสมองว่าร่างกายได้รับพลังงานเพียงพอแล้ว จึงควรหยุดรับประทานอาหาร
อย่างไรก็ตาม, ในผู้ที่มีภาวะอ้วน, แม้จะมีระดับเลปตินในกระแสเลือดสูงกว่าปกติเนื่องจากมีเซลล์ไขมันจำนวนมาก แต่ร่างกายกลับแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อเลปตินน้อยลง สภาวะนี้ทำให้สัญญาณที่บอกว่าร่างกายอิ่มหรือได้รับพลังงานเพียงพอไม่สามารถส่งถึงสมองได้อย่างเหมาะสม ผลลัพธ์คือผู้ที่มีภาวะอ้วนมักรู้สึกหิวและมีความต้องการอาหารสูง เพราะสมองไม่รับรู้สัญญาณความอิ่ม ส่งผลให้เกิดการบริโภคอาหารเกินความจำเป็นและยากต่อการควบคุมน้ำหนัก
การศึกษาพบว่าการเพิ่มขึ้นของระดับเลปตินในผู้ที่มีภาวะอ้วนทำให้ควบคุมน้ำหนักได้ยากมากขึ้น เนื่องจากความไวต่อเลปตินในร่างกายลดลง การรักษาหรือการปรับปรุงความไวต่อเลปตินจึงเป็นหนึ่งในวิธีการที่อาจช่วยแก้ไขปัญหาน้ำหนักเกินและภาวะอ้วนได้
อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยถูกผลิตขึ้นในตับอ่อนและมีหน้าที่หลักในการช่วยให้น้ำตาลจากอาหารเคลื่อนที่เข้าสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน นอกจากนี้ อินซูลินยังช่วยให้ร่างกายสามารถเก็บสะสมน้ำตาลที่เหลือในรูปของไกลโคเจนภายในตับและกล้ามเนื้อสำหรับใช้ในภายหลัง
โดยปกติ หลังจากรับประทานอาหาร เลือดจะมีระดับน้ำตาลสูงขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมา เมื่ออินซูลินเข้าสู่กระแสเลือด ช่วยให้น้ำตาลในเลือดเคลื่อนที่เข้าสู่เซลล์ได้มากขึ้น ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงสู่ระดับปกติ อย่างไรก็ตาม ในผู้ที่มีภาวะอ้วน ความสามารถในการตอบสนองต่ออินซูลินของเซลล์มักจะลดลง ซึ่งเรียกว่า “ความต้านทานต่ออินซูลิน” สภาวะนี้ทำให้ตับอ่อนต้องผลิตอินซูลินเพิ่มขึ้นเพื่อพยายามลดระดับน้ำตาลในเลือด การทำงานหนักเกินไปนี้สามารถทำให้ตับอ่อนเสื่อมสภาพได้ในที่สุด นำไปสู่การลดลงของการผลิตอินซูลินและอาจนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2
การศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าความต้านทานต่ออินซูลินเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักสำหรับการนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยประมาณว่ามีผู้คนมากกว่า 400 ล้านคนทั่วโลกที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานในปี 2015 และตัวเลขนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 642 ล้านคนภายในปี 2040
ดังนั้น การจัดการกับภาวะอ้วนและความต้านทานต่ออินซูลินจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและจัดการกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินและการเพิ่มกิจกรรมทางกายเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความต้านทานต่ออินซูลิน
ฮอร์โมนเพศเล่นบทบาทสำคัญในการกำหนดการกระจายตัวของไขมันในร่างกาย โดยเอสโตรเจนและแอนโดรเจนมีผลต่อการสะสมของไขมันในพื้นที่ต่างๆ ของร่างกาย ในผู้หญิง เอสโตรเจนมีบทบาทในการส่งเสริมการสะสมไขมันในพื้นที่รอบๆ สะโพกและต้นขาในขณะที่ในผู้ชาย แอนโดรเจนส่งเสริมการสะสมของไขมันในพื้นที่หน้าท้อง
การสะสมไขมันรอบหน้าท้องเป็นสิ่งที่น่ากังวลมากกว่าไขมันที่สะสมรอบสะโพกและต้นขา เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคเรื้อรังหลายชนิด ไขมันที่สะสมในพื้นที่หน้าท้องเรียกว่า “ไขมันช่องท้อง” ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่สูงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2, โรคหัวใจ, และสภาวะอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลสูง
ในผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน เมื่อระดับเอสโตรเจนลดลง รูปแบบการสะสมไขมันอาจเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบที่คล้ายกับในผู้ชาย โดยมีไขมันสะสมมากขึ้นรอบหน้าท้อง การเปลี่ยนแปลงนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการพัฒนาโรคต่างๆ เช่นกัน ดังนั้น การจัดการกับระดับฮอร์โมนเพศและรูปแบบการกระจายตัวของไขมันในร่างกายจึงสำคัญในการลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง
ฮอร์โมนเจริญเติบโต ] เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย รวมถึงการควบคุมการเผาผลาญพลังงาน ฮอร์โมนเจริญเติบโตถูกผลิตโดยต่อมใต้สมองและช่วยในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังมีผลต่อการเผาผลาญไขมัน โดยช่วยให้ร่างกายใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานได้มากขึ้น
ในผู้ที่มีภาวะอ้วน มักพบว่าระดับฮอร์โมนเจริญเติบโตในร่างกายลดลงเมื่อเทียบกับผู้ที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ การมีระดับฮอร์โมนเจริญเติบโตที่ต่ำส่งผลให้การเผาผลาญพลังงานจากไขมันลดลง ทำให้ร่างกายสะสมไขมันได้ง่ายขึ้นและยากต่อการลดน้ำหนัก
การลดลงของฮอร์โมนเจริญเติบโตในผู้ที่มีภาวะอ้วนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความสามารถในการเผาผลาญไขมันเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของกล้ามเนื้อและกระดูก รวมถึงการลดลงของความสามารถในการซ่อมแซมและรักษาเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย
การศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มระดับฮอร์โมนเจริญเติบโตอาจช่วยปรับปรุงการเผาผลาญไขมันและช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ที่มีภาวะอ้วน อย่างไรก็ตาม การใช้ฮอร์โมนเจริญเติบโตเป็นวิธีการรักษาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา
ความอ้วนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกของบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่โรคต่างๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ฮอร์โมนที่ไม่สมดุลซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะอ้วนมีส่วนสำคัญในการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคหลอดเลือดสมอง, มะเร็งบางชนิด และการลดลงของอายุขัย
การศึกษาพบว่าผู้ที่มีภาวะอ้วนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ การสะสมของไขมันโดยเฉพาะในบริเวณหน้าท้องมีความเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของคอเลสเตอรอล “ไม่ดี” (LDL) และลดลงของคอเลสเตอรอล “ดี” (HDL) ซึ่งเป็นสภาวะที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
นอกจากนี้ ภาวะอ้วนยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากไขมันที่สะสมสามารถนำไปสู่การอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งลดการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองและอาจนำไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้
ความเชื่อมโยงระหว่างภาวะอ้วนกับบางชนิดของมะเร็งเช่น มะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งตับ ก็เป็นที่รู้จักกันดี ฮอร์โมนที่ไม่สมดุลเช่น เอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นในผู้หญิงที่มีภาวะอ้วนอาจกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด
การศึกษาต่างๆ ยังชี้ให้เห็นว่าความอ้วนลดอายุขัยโดยเฉลี่ย และผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) สูงมีโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรสูงกว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ดังนั้น การจัดการน้ำหนักและการรักษาสมดุลของฮอร์โมนเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้และการเพิ่มคุณภาพและความยาวของชีวิต
การทำความเข้าใจถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมต่างๆ เช่น การรับประทานอาหารเกินความต้องการและการใช้ชีวิตที่ขาดการเคลื่อนไหวกับการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน เป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจกระบวนการของการเพิ่มน้ำหนักและการพัฒนาของภาวะอ้วน พฤติกรรมเหล่านี้สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนที่ส่งเสริมการสะสมไขมันและลดการเผาผลาญพลังงาน ทำให้ยากต่อการลดน้ำหนัก
การรับประทานอาหารเกินความต้องการไม่เพียงแต่เพิ่มปริมาณแคลอรี่ที่เข้าสู่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้ระดับฮอร์โมนเช่น เลปติน (ซึ่งควบคุมความอยากอาหารและความรู้สึกอิ่ม) และอินซูลิน (ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) ไม่สมดุล การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถลดความไวต่อฮอร์โมนเหล่านี้ ทำให้เกิดความต้านทานต่อเลปตินและอินซูลิน ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้การควบคุมน้ำหนักยากขึ้น
การใช้ชีวิตที่ขาดการเคลื่อนไหวหรือนั่งนานๆ ยังเพิ่มความเสี่ยงในการพัฒนาภาวะอ้วนผ่านการลดลงของการเผาผลาญพลังงาน และอาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมนเช่น ฮอร์โมนเจริญเติบโต ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมการเผาผลาญไขมันและกล้ามเนื้อ
การลดน้ำหนักผ่านการควบคุมอาหาร, การออกกำลังกาย หรือการผ่าตัด มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าสามารถปรับปรุงภาวะความต้านทานต่ออินซูลิน ลดการอักเสบในร่างกาย และส่งผลบวกต่อระดับฮอร์โมนได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วน
การศึกษาหลายชิ้นได้ยืนยันว่าการลดน้ำหนักแม้เพียง 5-10% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้นสามารถลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับความต้านทานต่ออินซูลิน นอกจากนี้การลดน้ำหนักยังช่วยลดระดับไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต และปรับปรุงความสามารถในการใช้อินซูลินของร่างกายได้
นอกจากนี้ การลดน้ำหนักยังสามารถลดการอักเสบที่เชื่อมโยงกับภาวะอ้วนได้ ซึ่งการอักเสบเป็นหนึ่งในกลไกหลักที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด การศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าการลดน้ำหนักสามารถลดระดับสารอักเสบในร่างกาย เช่น C-reactive protein (CRP) และอินเตอร์ลิวคิน-6 (IL-6) ซึ่งทั้งคู่เป็นตัวบ่งชี้การอักเสบในร่างกาย
การลดน้ำหนักยังมีผลต่อการปรับฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความอ้วน เช่น เลปตินและอินซูลิน ซึ่งช่วยให้การควบคุมน้ำหนักและความต้านทานต่ออินซูลินดีขึ้น การลดระดับเลปตินที่สูงเกินไป ซึ่งมักพบในผู้ที่มีภาวะอ้วน สามารถช่วยลดภาวะความต้านทานต่อเลปติน ซึ่งเป็นสภาวะที่ทำให้ร่างกายลดความสามารถในการควบคุมความอยากอาหารและการใช้พลังงาน
จากบทความนี้จะเห็นได้ว่า การดูแลสุขภาพที่ครอบคลุม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การออกกำลังกาย และอาหารที่สมดุล โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่ช่วยปรับสมดุลและอาหารเพิ่มฮอร์โมนให้สุขภาพดีเป็นส่วนสำคัญในการจัดการกับภาวะอ้วนและป้องกันผลกระทบที่ตามมาของการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน
การลดน้ำหนักอาจเต็มไปด้วยความท้าทายและอุปสรรคที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มองไม่เห็นอย่าง ฮอร์โมนความอ้วน ที่อาจทำให้ความพยายามของเราดูเหมือนไร้ผล หวังว่าบทความนี้ได้ช่วยเปิดเผยถึงบทบาทสำคัญของฮอร์โมนต่างๆ ที่มีต่อน้ำหนักตัวและการจัดการน้ำหนัก และทำให้เราเข้าใจถึงความสลับซับซ้อนของร่างกายมากขึ้น
1.ฮอร์โมนใดบ้างที่มีผลต่อความอ้วน?
ฮอร์โมนที่สำคัญซึ่งมีผลต่อความอ้วน ได้แก่ ฮอร์โมนเลปติน อินซูลิน เอสโตรเจน แอนโดรเจน และฮอร์โมนการเจริญเติบโต ฮอร์โมนเหล่านี้มีผลต่ออัตราการเผาผลาญพลังงาน การกระจายไขมันในร่างกาย และความอยากอาหารของเรา
2.ทำไมคนที่อ้วนจึงมีปัญหาเกี่ยวกับระดับฮอร์โมน?
คนที่มีน้ำหนักเกินมักจะมีระดับฮอร์โมนที่ส่งเสริมการสะสมไขมันในร่างกาย เช่น ระดับเลปตินที่สูงแต่ร่างกายไม่ไวต่อฮอร์โมนนี้ ซึ่งทำให้พวกเขาไม่รู้สึกอิ่ม นอกจากนี้ ความไม่สมดุลของฮอร์โมนอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในการเผาผลาญและการกระจายไขมันในร่างกาย
3.การลดน้ำหนักสามารถช่วยปรับปรุงการทำงานของฮอร์โมนได้หรือไม่?
ใช่ การลดน้ำหนักผ่านการกินอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกายสามารถช่วยปรับปรุงความไวต่ออินซูลิน ลดการอักเสบ และปรับปรุงระดับฮอร์โมนให้เข้าสู่สภาวะที่ดีขึ้น ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับความอ้วนได้
4.โรคอ้วนสามารถป้องกันได้หรือไม่?
ใช่ โรคอ้วนและโรคที่เกี่ยวข้องสามารถป้องกันได้โดยการรักษาระดับน้ำหนักที่เหมาะสมผ่านการกินอาหารที่สมดุลและการมีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมระยะยาวเช่นนี้สามารถช่วยปรับปรุงการทำงานของฮอร์โมนและลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับความอ้วน
Atlantic Canada Healthcare คลังข้อมูลป้องกันโรค รู้ทันโรคใหม่ ๆ ทุกวัน พร้อมวิธีตรวจเช็คอาการเบื้องต้น มีประสิทธิภาพมากที่สุด ประหยัดที่สุด ทันเวลาในการตัดสินใจไปพบแพทย์เพื่อคำแนะนำและการรักษาที่ดีที่สุด